วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การเขียนสตอรี่บอร์ด (Story Board)
                  ความหมายของสตอรี่บอร์ด

                          คือ การเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์หรือหนังแต่ละเรื่อง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหน้าจอ เช่น ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูด และแต่ละอย่างนั้นมีลำดับการปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรปรากฏพร้อมกัน  เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้าง     อนิเมชันหรือหนังขึ้นมาจริงๆ


        หลักการเขียนสตอรี่บอร์ด
               รูปแบบของสตอรี่บอร์ดจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนภาพและส่วนเสียง
โดยปกติจะวาดภาพในกรอบสี่เหลี่ยม ต่อด้วยการเขียนบทบรรยายหรือบทสนทนา และส่วนสุดท้ายคือการใส่เสียง อาจประกอบด้วยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสียงประกอบต่างๆ
               สิ่งสำคัญที่อยู่ในสตอรี่บอร์ดประกอบด้วย ตัวละครหรือฉาก  มุมกล้อง และเสียงการพูดคุยกันระหว่างตัวละคร          

อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard












ข้อดีของการทำสตอรี่บอร์ด (Story Board)

            1.ช่วยให้เนื้อเรื่องลื่นไหล  เพราะได้อ่านทวนตั้งแต่ต้นจนจบก่อนลงมือวาดจริง
          
            2.ช่วยให้เนื้อเรื่องไม่ออกนอกเรื่อง เพราะมีแผนการวาดกำกับไว้หมดแล้ว
           
            3.ช่วยกะปริมาณบทพูดให้พอดี เหมาะสมกับหน้ากระดาษและบอลลูนนั้นๆ
            
            4.ช่วยให้สามารถวาดจบได้ในจำนวนหน้าที่กำหนด



อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard
ขั้นตอนการทำสตอรี่บอร์ด (Story Board)
           1.วางโครงเรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น Theme,ตัวละครหลัก,ฉาก
                        1.1 แนวเรื่อง
                        1.2 ฉาก
                       1.3 เนื้อเรื่องย่อ
                      1.4 Theme/แก่น (สิ่งที่ต้องการจะสื่อ/ข้อคิด)
                      1.5 ตัวละคร สิ่งที่สำคัญคือการกำหนดรูปลักษณ์ตัวละครให้โดดเด่น ไม่คล้ายกันจนเกินไป ควรออกแบบรูปลักษณ์ตัวละครให้โดดเด่นแตกต่างกัน และมองแล้วสามารถสื่อถึงลักษณะนิสัยของตัวละครได้ทันที
                    2.ลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ
              จุดสำคัญ คือ ทุกเหตุการณ์จะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เหตุการณ์ก่อนหน้าจะทำให้เหตุการณ์ต่อมามีน้ำหนักมากขึ้น  และต้องหาจุด Climax ของเรื่องให้ได้ จุดนี้จะเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดก่อนที่จะเฉลยปมทุกอย่างในเรื่อง การสร้างปมให้ผู้อ่านสงสัยก็เป็นจุดสำคัญในการสร้างเรื่อง  ปมจะทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามในใจและคาดเดาเนื้อเรื่องและตอนจบไปต่างๆนาๆ

             อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard
              3. กำหนดหน้า

              4. แต่งบท  เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงมือวาดสตอรี่บอร์ด ควรเขียนบทพูดและบทความคิดที่จะใช้เขียนลงในหนังออกมาโดยละเอียด เพื่อที่จะกำหนดขนาดของบอลลูน
และจัดวางลงบนหน้ากระดาษได้อย่างเหมาะสม
               5.ลงมือเขียนสตอรี่บอร์ด
              แบบฟอร์อมการเขียนสตอรี่บอร์ดแบบต่างๆ
                แบบที่1

                                   
              

                    แบบที่2
                      
                                
                      
                       แบบที่3




อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard
     ตัวอย่างสตอรี่บอร์ด (Story Board)        






        

การทำภาพยนตร์และหนังสั้น (ศัพท์เทคนิคต่างๆ)

ศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับการเปลี่ยนภาพที่ควรรู้จัก

                   Cut  หมายถึง การตัดเปลี่ยนจากภาพหนึ่งเป็นอีกภาพหนึ่ง

                    
                   Dissolve  หมายถึง การเปลี่ยนจากภาพหนึ่งเป็นอีกภาพหนึ่ง โดยค่อยๆเบลอภาพแรกให้ค่อยๆจางหายไปพร้อมๆกับให้ภาพซีนต่อไปค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นแทน ซึ่งอาจใช้เทคนิคชั้นสูง หรือใช้การเปลี่ยนระยะชัดของเลนส์เพื่อเลื่อนภาพ ขณะเลื่อนภาพหนึ่งออกและเลื่อนอีกภาพหนึ่งเข้า หรือ Fade out / Fade in

                   Wipe หมายถึง การเปลี่ยนภาพในลักษณะค่อยๆ ลอกภาพออก คล้ายการเปิดหน้าสมุดหรือหนังสือ

                   Turn หมายถึง การหมุนภาพเพื่อเปลี่ยนภาพใหม่




อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard
ศัพท์เทคนิคในด้านของเสียง

                       Off-Scene (O.S.) หมายถึงเสียงของบุคคลที่ไม่ได้ปรากฏในรูปภาพ เช่น ซีนภาพเด็กกำลังเล่น แม่ O.S. ดุเด็ก ก็คือในภาพมีแต่เด็กไม่มีแม่ แต่มีเสียงแม่แทรกสอดเข้ามาอยู่ในภาพ

                      Voice Over (V.O.) หมายถึงเสียงโฆษณาหรือผู้ประกาศ ซึ่งถ้าเป็นผู้ชายเรียกว่า MVO. (Male Voice Over) ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า FVO. (Female Voice Over)

                      Sound Effect (Fx.) หมายถึงเสียงประกอบอื่นๆ เช่น เสียงนกร้อง เสียงดนตรี เป็นต้น



อ้างอิง https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard